วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมที่13

1.ในปัจจุบัน เด็กไทย(รวมถึงผู้ใหญ่ไทย) มีสุขนิสัยที่ดี ในเรื่องพฤติกรรมการบริโภค พฤติกรรมสุขภาพ ที่เหมาะสมหรือไม่ เพียงใด
ไม่เหมาะสม เพราะว่า เด็กไทยเรามักจะมีปัญหาโภชนาการ (อาหาร) แบบไม่สมดุล คือ บางอย่างมากไป บางอย่างน้อยไปอาหารกลุ่มที่ "มากไป" มักจะเป็นกลุ่มให้กำลังงาน (คาร์โบไฮเดรตหรือแป้ง-น้ำตาล ไขมัน และโปรตีน) อาหารกลุ่มที่ "น้อยไป" มักจะเป็นกลุ่มผัก ผลไม้ทั้งผล (ไม่ใช่น้ำผลไม้) และแร่ธา

ตุ โดยเฉพาะแคลเซียม กรมอนามัยจัดทำคำแนะนำง่ายๆ สำหรับเด็กไทย โดยการแบ่งอาหารเป็นหมวดหมู่ง่ายๆ อ่านแล้วนำไปใช้ได้เลย ผู้ใหญ่ที่ออกแรง-ออกกำลังมากหน่อยก็นำคำแนะนำนี้ไปใช้ได้ แต่ถ้าออกแรง-ออกกำลังน้อย... ควรกินอาหารกลุ่ม "ข้าว-แป้ง" ให้น้อยลงหน่อยและที่สำคัญก็คือเด็กไทยส่วนใหญ่ไม่รับประทานอาหารเช้าทั้งที่อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดเมื้อหนึ่งโดยอาหารเช้าเป็นการ เติมพลังงานแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ อาหารเช้าจึงเป็นมื้อสำคัญที่สุด เมื่อตื่นนอนในตอนเช้าระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำ ทำให้ไม่มีพลังงานไปเลี้ยงสมอง การละเลยอาหารเช้าจะทำให้หงุดหงิดอารมณ์เสีย เครียด อ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยเด็กไม่ควรละเลยอาหารเช้า เพราะจะทำให้มีผลต่อการเรียนรู้และความจำ โดยอาหารเช้าที่เหมาะสมควรมีพลังงานและสารอาหารอย่างน้อย 1 ใน 4 ของปริมาณที่ควรได้รับตลอดวัน
2) ในปัจจุบันเด็กไทย(รวมถึงผู้ใหญ่ไทย) มีกีฬาประจำตัว มีปฏิทินการออกกำลังกาย และได้ออกกำลังกายตามปฏิทินอย่างจริงจัง มากน้อยเพียงใด(ทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาล แพทย์ไทย มักจะถาม คำถามว่า “มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง” แต่ไม่เคยถามว่า “หนู มีกีฬาประจำตัวหรือไม่ มีปฏิทินออก กำลังกายไหม)
น้อย ในปัจจุบันนั้นการออกกำลังกายของเด็กไทยนั้นค่อนข้างจะน้อยมาก มีบางส่วนที่ได้ออกกำลังกายบ้างในตอนเย็น เช่น การแตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ เล่นแบดบินตัน ว่ายน้ำ นั้นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้น แต่ปัจจัยหลักก็มีอยู่หลายอย่าง
3) เด็กไทยมีความสามารถในการบริหารสุขภาพจิต การควบคุมอารมณ์ หรือการพัฒนาบุคลิกภาพหรือไม่ เพียงใด(ดูได้จากบรรยากาศการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ในทันทีที่มีการประกาศผลการแข่งขัน จะมี 1 ทีมที่ร้องให้ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้)
เด็กแต่ละคนควบคุมตนเองได้ดีไม่เท่ากันอาจเป็นเพราะพฤติกรรมการเรียนรู้ในวัยเด็กและสิ่งแวดล้อมภายในครอบครัว การเลี้ยงดูที่เหมาะสมสามารถช่วยกล่อมเกลาและการควบคุมอารมณ์ด้านลบของเด็กได้ พร้อมกับส่งเสริมอารมณ์ด้านบวกให้โดดเด่นยิ่งขึ้น แต่หากเด็กที่มีพื้นฐานของอารมณ์ไม่ดีแล้วไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเข้าใจ ก็จะยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ที่ไม่ดีเหล่านั้นกลายเป็นนิสัยถาวร ไร้การควบคุม ส่วนเด็กที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่พ่อแม่ทะเลาะกันอยู่เสมอจะกลายเป็นเด็กอารมณ์ร้ายและมีอีคิวต่ำ นอกจากนี้วิธีการเลี้ยงดูเด็กก็มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็ก
การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
การดำเนินงานตามระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ดำเนินการโดยอาศัยองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ คือ
1. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ผู้ดูแลช่วยเหลือนักเรียน ปฏิบัติต่อนักเรียน ดังนี้
1.1จัดทำระเบียนประวัตินักเรียน ให้เป็นปัจจุบัน
1.2จัดทำแบบ SDQ
1.3ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัด EQ
1.4สำรวจน้ำหนักและส่วนสูง ของนักเรียน
1.5ไปเยี่ยมบ้านนักเรียน เยี่ยมหอพัก และประชุมผู้ปกครองกลุ่มย่อย
2.การคัดกรองนักเรียน โดยใช้แบบคัดกรองนักเรียน คัดกรองนักเรียน เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อจะได้นำข้อมูลมาช่วยในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยใช้ข้อมูลจาก
2.1การสังเกต ของอาจารย์ผู้ดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยการสังเกตพฤติกรรม
2.2ระเบียนประวัตินักเรียน ให้เป็นปัจจุบัน
2.3แบบ SDQ
2.4แบบทดสอบวัด EQ
2.5การสำรวจน้ำหนักและส่วนสูง
2.6ไปเยี่ยมบ้านนักเรียน เยี่ยมหอพัก และประชุมผู้ปกครองกลุ่มย่อย
2.7ตรวจปัสสาวะ
3.การส่งเสริมนักเรียน อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ผู้ดูแลช่วยเหลือนักเรียน ปฏิบัติต่อ
นักเรียน ดังนี้
3.1 อบรมนักเรียนตอนเช้าก่อนเข้าเรียน ในคาบแรกทุกวัน (โฮมรูม) แล้วบันทึกลงในแบบบันทึกการโฮมรูม ส่งฝ่ายปกครองเดือนละ 1 ครั้ง โดยใช้คู่มือการโฮมรูม ประกอบการโฮมรูม
3.2 โรงเรียน จัดกิจกรรม และโครงการส่งเสริมนักเรียน ให้เป็นคนดี คนเก่ง และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
4.การป้องกันและแก้ไขปัญหา อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ผู้ดูแลช่วยเหลือนักเรียนปฏิบัติต่อนักเรียน ดังนี้
4.1 สำรวจสถิติการมาโรงเรียนของนักเรียน ทุกเช้า นำข้อมูลส่งอาจารย์ที่หัวหน้าระดับ
ทุกเช้าก่อนเข้าโฮมรูม
4.2 ให้นักเรียนทำแบบขออนุญาตออกนอกโรงเรียน เมื่อมีความจำเป็นต้องออกนอกโรงเรียน
4.3 ให้นักเรียนบันทึกพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนของนักเรียนไว้
4.4 ทำหนังสือแจ้งผู้ปกครองทราบ เมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมที่ เบี่ยงเบน
4.5 ทำหนังสือเชิญผู้ปกครองมาพบครูที่ปรึกษา เมื่อนักเรียนยังไม่ปรับปรุงพฤติกรรม
4.6. จัดทำกิจกรรมและโครงการเพื่อป้องกันและแก้ไข เช่น
(1)โครงการจัดกิจกรรมเนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดสากล
(2)โครงการเยี่ยมบ้านนักเรียน การเยี่ยมหอพักนักเรียน ประชุมผู้ปกครองกลุ่มย่อย เป็นต้น

5.การส่งต่อ เมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาและดูแลช่วยเหลือนักเรียน ไม่สามารถที่จะแก้ไขพฤติกรรมของนักเรียนได้ ให้ส่งต่อนักเรียนคนนั้น ไปให้อาจารย์ฝ่ายแนะแนว ซี่งเป็นนักจิตวิทยาของโรงเรียน หรือโรงพยาบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลช่วยเหลือต่อไป
7) โรงเรียนมีการพัฒนารายวิชา(วิชาเลือก/วิชาเพิ่มเติม) ที่เกี่ยวข้องกับ การควบคุมอารมณ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ การบริหารจัดการกับปัญหาสุขภาพจิต ฯลฯ หรือไม่(หลักสูตรประเทศสิงค์โปร์ เด็กอนุบาล ต้องเรียนวิชา “การควบคุมอารมณ์”)
ทางโรงเรียนจะมีการพัฒนารายวิชา(วิชาเลือก/วิชาเพิ่มเติม) ที่เกี่ยวข้องกับ การควบคุมอารมณ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ การบริหารจัดการกับปัญหาสุขภาพจิต โดยจะสอดแทรกเอาไว้ในกิจกรรมของวิชานั้นๆ ให้นักเรียนได้ปฏิบัติ เช่น
-การฝึกทำงานเป็นกลุ่ม
-การฝึกสมาธิ เป็นต้น
8) โรงเรียนมีการประเมินมาตรฐานด้าน สุขภาพกาย และสุขภาพจิต เป็นระยะ ๆ อย่างจริงจังมากน้อยเพียงใด
โรงเรียนจะประเมินมาตรฐานด้าน สุขภาพกาย และสุขภาพจิต เป็นระยะ ๆได้ โดยสังเกตจากพฤติกรรมของเด็ก เพื่อนำมาพัฒนาคุณภาพการศึกษา และนำมาประเมินว่าโรงเรียนมีมาตรฐานด้านนั้นๆ มากน้อยเพียงใด
9) โรงเรียนมีแบบประเมิน/แบบสังเกตภาวะสุขภาพกาย สุขภาพจิตของนักเรียน เพื่อครูประจำชั้น และ พ่อแม่ใช้ในการสังเกต-ประเมินนักเรียนในความรับผิดชอบ หรือบุตรหลานของตนเอง หรือไม่ ฯลฯ
มี เพื่อนำมาใช้ในการสังเกตและประเมินนักเรียนว่ามีภาวะสุขภาพกาย สุขภาพจิตเป็นเช่นไร จะได้ดำเนินการช่วยเหลือ สนับสนุน หรือหาทางแก้ไขได้ต่อไป เช่น
ระบบประเมินสุขภาพด้วยตนเองสำหรับนักเรียน เพื่อให้นักเรีย และผู้ที่ใส่ใจดูแลสุขภาพของบุตรหลานที่มีอายุอยู่ระหว่าง 10-18 ปี สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสุขภาพของตนเองว่ามีภาวะสุขภาพที่ดี หรือมีความผิดปกติ ตลอดจนมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหรือความเจ็บป่วยในเรื่องต่างๆ รวม 8 เรื่องหรือไม่ คือ
-ความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า
-ภาวะการเจริญเติบโต
-โรคหรือความผิดปกติของร่างกาย
-ภาวะสายตาและการได้ยิน
-ความสุข
-สมรรถภาพทางกาย
-พฤติกรรมการบริโภคอาหาร
-พฤติกรรมเสี่ยงในเรื่องอุบัติเหตุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น